เมนู

อันมืดมนอนธการ ก็ชัชวาลสว่างกระจ่างแจ้งแลเห็นรูปต่าง ๆ เป็นต้นว่าถ้วยโถโอจานพาน
ภาชนะอันตั้งเรียงเคียงกัน ยถา มีอรุวนาฉันใด โอภาสลักขณปัญญานี้ไซร้ อุปฺปชฺชมานา เมื่อจะ
บังเกิดในสันดานท่านผู้เป็นโยคาวจรนั้น ก็กำจัดเสียซึ่งมืดคืออวิชชาอันบังปัญญามิให้รู้ธรรม
ยังวิชโชภาสอันสุกใสไพโรจน์คือ วิชชาอันจะรู้ไปในธรรมนั้นให้สว่างกระจ่างแจ้ง ยังญาณาโลก
ให้สว่างไสว ก็เห็นแจ้งในพระอริยสัจทั้ง 4 ทีนั้นพระโยคาวจรเจ้าก็เห็นเป็นพระไตรลักษณญาณ
ว่า อนิจฺจนฺติ วา เป็นอนิจจังบ้าง ทุกฺขนฺติ วา เป็นทุกขังบ้าง อนตตาติ วา เป็นอนัตตาบ้าง
อย่างนี้แหละชื่อว่าโอภาสลักขณปัญญา ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ากรุงมิลินท์ภูมินทราธิบดี ทรงฟังอุปมาฉะนี้ก็มีน้ำพระทัยหรรษา จึงตรัส
สาธุการว่าพระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรอยู่แล้ว
ปัญญาลักขณปัญหา คำรบ 14 จบเท่านี้

นานาเอกกิจจกรณปัญหา ที่ 15


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์จึงมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ
นาคเสนผู้เป็นเจ้าผู้ประกอบด้วยปรีชา อิเม ธมฺมา อันว่ากุศลธรรมทั้งหลายนี้ มีสันดานต่าง ๆ
กัน ให้สำเร็จซึ่งประโยชน์อันเดียวกันหรือ
พระนาคเสนถวายพระพรว่า กระนั้นแหละมหาบพิตร ธรรมทั้งหลายมีสันดานต่างกัน
ให้สำเร็จประโยชน์อันเดียว แล้วฆ่าเสียซึ่งกิเลสด้วย ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเข้ามิลินท์ปิ่นประชากร จึงนิมนต์ให้พระนาคเสนกระทำอุปมา
พระนาคเสนผู้ปรีชาก็กระทำอุปมาอุปไมยว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร
เปรียบปานประดุจเสนาจตุรงค์แห่งองค์สมเด็จบรมกษัตริย์อันยกไปปราบปัจจามิตรหมู่
อรินทรราชอันราวี ฝ่ายจตุรงคเสนาทั้ง 4 คือ เสนาช้าง เสนาม้า เสนารถ เสนบทบาทเปล่า
เหล่านี้ต่างกัน กระทำสงครามได้อันเดียวคือ ชนะศึกอันเดียว แล้วก็ฆ่าเสียซึ่งหมู่ปัจจามิตรทั้ง
หลายนั้น ยถา มีครุวนาฉันใด กุศลธรรมทั้งหลายนี้ไซร้ มีสันดานต่างกัน มีลักษณะต่างกัน ให้
สำเร็จประโยชน์สิ่งเดียว แล้วฆ่าเสียซึ่งกิเลสทั้งหลายให้ประลัย อุปไมยเหมือนจตุรงคเสนีมีสัน
ดานต่างกัน ชนะสงครามอันเดียว แล้วฆ่าเสียซึ่งข้าศึกนั้น

พระเจ้ากรุงมิลินท์ปิ่นกษัตริย์ ทรงฟังก็โสมนัสตรัสว่าพระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว
นานาเอกกิจจกรณปัญหา คำรบ 15 จบเหล่านี้
ปฐโม วคฺโค โสฬสปญฺโห แสดงมาด้วยปฐมวรรคมีปัญหา 16 ปัญหา นับวัญจนปัญหา
อีกปัญหา 1 เข้าด้วยจึงเป็น 16 ปัญหา จบเท่านี้

ทุติยวรรค


ธัมมสันตติปัญหา ที่ 1


ราชา

สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ภูมิทาธิบดี มีพระราชโองการถามอรรถปริศนาแก่พระ
นาคเสนว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า มนุษย์และบุรุษหญิงชายฝูงสัตว์ทั้ง
หลาย 2 เท้าก็ดี 4 เท่าก็ดี หาเท้ามิได้ก็ดี ครั้นเกิดมาในโลกนี้ถ้าเป็นชายเมื่อยังเป็นทารกอยู่
ครั้นเจริญวัยใหญ่ขึ้นก็กลายเป็นชายอื่นไป ถ้าว่าเป็นสตรีก็เป็นสตรีอื่นไป ถ้าเป็นสัตว์สองเท้า
ก็กลายเป็นสัตว์สองเท้าอื่นไป ถ้าเป็นสัตว์สี่เท้าก็กลายเป็นสัตว์มีเท้ามากอันอื่นไปถ้าเป็นสัตว์
หาเท้ามิได้ก็กลายเป็นสัตว์หาเท้ามิได้อันอื่นไป ที่มีเท้ามากก็กลายเป็นสัตว์มีเท้ามากอันอื่นไป
อย่างนั้นหรือประการใด
พระนครเสนวิสัชนาแก้ไขว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภารผู้ประเสริฐในราช
สมบัติ อันว่ามนุษย์และสัตว์เดียรัจฉานทั้งปวงเกิดมาแล้ว จะได้กลายเป็นอื่นไปนั้นหามิได้
ฝ่ายมนุษย์นั้นที่เกิดมาเป็นสตรีผู้นั้นก็เป็นสตรี ที่เกิดมาเป็นบุรุษผู้นั้นก็เป็นบุรุษ จะว่าด้วยสัตว์
เดียรัจฉานเล่าก็เหมือนกัน เกิดมาแล้วเป็นนามเป็นรูปสิ่งหนึ่ง และจะกลายเป็นนามรูปอื่นหามิ
ได้ ขอถวายพระพร
สมเด็จพระเจ้ามิลินท์ปิ่นสาคลนคร มีสุนทรพระราชโอการตรัสว่า โยมยังสงสัย นิมนต์
พระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้แจ้งก่อน
พระนาคเสนถวายพระพรอุปมาว่า มหาราช ดูรานะบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปาน
ดังบพิตรพระราชสมภารฉะนี้ เมื่อยังเป็นทกรกแรกประสูตินั้น พระกำนัลนางนมเชิญให้
บรรทมหงายอยู่บนพระที่พระยี่ภู่ ณ พระอู่ทอง แต่เมื่อยังเป็นทารกอยู่นั้น ครั้นทรงพระจำเริญ
มาคุ้มเท่าบัดนี้นี่ เป็นมหาบพิตรนี้หรือว่าเป็นอื่นไป
พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ตรัสว่า เมื่อเป็นทารกอยู่นั้นก็เป็นทารกอยู่ ครั้นจำเริญมา
ก็เป็นอื่นไป จะได้เรียกว่าทารกนั้นคือโยมนี้มิได้ เมื่อเล็กอย่างหนึ่ง เมื่อโตอย่างหนึ่ง ตกว่า
เกิดมาแล้ว เมื่อเป็นทารกมีนามรูปอย่างหนึ่ง ครั้นจำเริญใหญ่แล้วก็เป็นอื่นไป กระนี้แหละ
พระผู้เป็นเจ้า
พระนาคเสนถวายพระพรว่า ถ้าบพิตรพระราชสมภารตรัสฉะนี้ มารดาของมนุษย์บุรุษ
สตรีก็ดี เมื่อแรกเกิดในกลละก็เป็นอื่น เมื่อกลละข้นเข้าเป็นอัพพุทะ มารดาก็จะเป็นคนอื่น
เมื่อจะเป็นชิ้นมังสัง มารดาก็จะกลายเป็นอื่น เมื่อตั้งฆนะเป็นเนื้อแน่น ตราบเท่าแตกเป็นปัญจ-